Virtual tour VR360 มีกี่ประเภท ? | เลือกช่างภาพยังไง ? | ผู้ให้บริการแบบใดที่เหมาะกับคุณ ?

หากคุณกำลังมองหาช่างภาพ หรือบริษัทผู้ให้บริการ Virtual tour VR360 องศา บทความนี้ได้รวบรวมคำแนะนำ ข้อคิดเห็น ข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมและตรงกับงบประมาณของคุณได้

การถ่ายทำ Virtual tour 360 (VR360) มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับโปรเจกต์ของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ วันนี้เราได้จำแนกประเภทการถ่ายทำ VR 360 และความแตกต่างของการสร้าง Virtual tour แต่ละวิธี เพื่อช่วยให้คุณเลือกผู้ให้บริการได้ตามความต้องการ / ระยะเวลา / และงบประมาณของคุณ


Criteria ที่ 1 : แบ่งประเภทตามรูปแบบโปรแกรมที่สร้าง Virtual tour (Software)

  • 1.1 Web 360 programing : การเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง web360 ที่เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย
  • 1.2 VR Platform : การเลือกใช้ Platform VR360 สำเร็จรูปที่มีอยู่เดิมในตลาดอยู่แล้ว

1.1 Web 360 programing

คือรูปแบบการเขียน Program เพื่อเชื่อมภาพ VR360 แต่ละจุดรวมเข้าด้วยกันในรูปแบบของ web 360 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถคลิกเดิน / เลือกเมนู / ดู information ต่าง ๆ ได้ ได้โดยปราศจากข้อจำกัด เนื่องจากการเชื่อมโยง / การสร้างปุ่มกด interactive / การกำหนด sequence / การดีไซน์รูปแบบหน้าจอแสดงผลทั้งหมด เกิดจากการเขียน Program เพื่อตอบสนองลูกค้าแต่ละราย

ซึ่ง takealook360.com เราสร้าง VR Tour ในรูปแบบ Web360 programing เช่นตัวอย่างด้านล่างนี้ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

ตัวอย่าง VR Virtual tour 360 ในรูปแบบ Web 360 programing เพื่อ customize รูปแบบการใช้งานให้ตรงตามวัตถุประสงค์ (จากตัวอย่างนี้เป็นการสร้าง Virtual tour เพื่อส่งเสริมการขาย Franchise เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน)

ข้อดีของ Web 360 programing :

  • สามารถปรับแต่งรูปแบบหน้าจอ และการใช้งานทั้งหมดได้ตามความต้องการ
  • คุณเป็นเจ้าของไฟล์ Javascript virtual tour ซึ่งสามารถบริหารจัดการได้เองบน Web Server และไม่ต้องเสียค่าบริการรายปีให้ Platform ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาได้ 75% – 95% เมื่อเทียบกับกรณี VR Platform

ข้อเสียของ Web 360 programing :

  • ใช้เวลามากกว่า และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการทำ (เฉลี่ย 5 – 20 วันขึ้นอยู่กับรายละเอียดของ Interface)
  • มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า Platform สำเร็จรูป

1.2 VR Platform

คือการสร้าง VR Virtual tour จาก Platform สำเร็จรูปในตลาด เช่น matterport / klapty / Kuula / Cloudpano ซึ่งเว็บไซด์เหล่านี้ผู้ใช้สามารถสร้าง Virtual tour ได้ด้วยตนเอง มีขั้นตอนการสร้างที่ง่าย และใช้เวลาในการสร้างไม่นาน

ตัวอย่าง Google Street View

ตัวอย่าง Matterport tour

ข้อดีของ VR Platform :

  • สะดวก และรวดเร็วกว่า
  • ผู้ที่สนใจสามารถทดลองสร้าง VR Tour ได้เอง
  • ค่าใช้จ่ายในการสร้าง ประหยัดกว่า

ข้อเสียของ VR Platform :

  • ลูกค้าไม่สามารถเป็นเจ้าของ file virtual tour ได้เอง ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายปีให้ VR Platform

Criteria ที่ 2 : แบ่งประเภทตามรูปแบบอุปกรณ์ถ่ายทำ (Camera)

  • 2.1 Fullframe mirrorless – DSLR camera : กล้องดิจิตอลฟูลเฟรม (กล้อง Professional)
  • 2.2 Action camera 360 (สำเร็จรูป) : กล้อง action camera 360 แบบสำเร็จรูป
  • 2.3 Professtional VR camera (สำเร็จรูป) : กล้อง VR360 แบบสำเร็จรูป

2.1 Fullframe mirrorless – DSLR camera

คือการใช้กล้อง Mirrorless หรือ DSLR camera ต่อเข้ากับอุปกรณ์เฉพาะด้านสำหรับการถ่ายภาพ VR เพื่อเชื่อมต่อภาพตั้งแต่ 6 – 24 ภาพด้วย software ที่มี algorithm เฉพาะทางสำหรับการสร้างภาพ VR ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการถ่ายทำ VR แบบ Professional ด้วยกล้อง Fullframe

ซึ่ง takealook360.com เราถ่ายทำด้วยเทคนิค Fullframe mirrorless – DSLR เช่นตัวอย่างด้านล่างนี้ เพื่อความคมชัดสูงสุด ลูกค้าถ่ายทำครั้งเดียว สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ได้ทุกรูปแบบ รวมทั้งรองรับรูปแบบจอที่คมชัดขึ้นในอนาคต

ข้อดีของ Fullframe mirrorless – DSLR camera :

  • ความคมชัดสูงที่สุดในตลาด VR ปัจจุบัน (ตั้งแต่ 90 ล้านพิกเซล – 1,240 ล้านพิกเซล — ปัจจุบันนิยมถ่ายทำที่ระดับ 120 ล้านพิกเซล)
  • คุณภาพสูงที่สุดในตลาด VR ปัจจุบัน เนื่องด้วยขนาด Sensor 35mm ต่อการถ่ายทำ 1 ด้าน
  • ภาพที่ได้ สามารถเลือกถ่าย RAW หรือ HDR เพื่อการปรับแต่งความสว่าง – สี ภายหลัง ซึ่งทำให้ภาพออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดใกล้เคียงการมองเห็นด้วยตาจากสถานที่จริง

ข้อเสียของ Fullframe mirrorless – DSLR camera :

  • ใช้เวลาในการสร้างภาพ VR ที่นานกว่า
  • ต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในถ่ายทำ

2.2 Action camera 360 (สำเร็จรูป)

คือรูปแบบกล้องสำหรับถ่ายกีฬา extreme ในรูปแบบ 360 องศา เช่น Insta360, Ricoh, Gopro

ข้อดีของ action camera 360 (สำเร็จรูป)

  • สะดวกรวดเร็ว ได้ผลลัพธ์เป็นภาพ 360 ทันทีที่ถ่ายทำ
  • ถ่ายทำง่าย ใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่นาน

ข้อเสียของ action camera 360 (สำเร็จรูป)

  • คุณภาพต่ำ (32 ล้านพิกเซล / 1 spot VR) ซึ่งมีความคมชัดไม่เพียงพอต่อการใช้งานในจอขนาดใหญ่และ VR Headset
  • อาจเกิดอาการ Motion sickness ขณะรับชมเนื่องจากคุณภาพที่ยังไม่สูงเพียงพอ

2.3 Professtional VR camera (สำเร็จรูป)

คือกล้องสำเร็จรูปเพื่อการถ่ายทำ VR360 ที่เลียนแบบเทคนิคการถ่ายทำแบบ Fullframe mirrorless – DSLR แต่เปลี่ยนจากการถ่ายภาพหลายด้าน เป็นการถ่ายทำด้วยกล้องหลายตัว ซึ่งให้ภาพคุณภาพสูงขึ้น (ยังต่ำกว่า Fullframe) แต่ไม่ต้องใช้ช่างชำนาญการในการถ่าย เช่น Insta360pro, Matterport pro

ข้อดีของ Professional VR camera (สำเร็จรูป)

  • ได้คุณภาพสูงขึ้นจาก action camera
  • ความคมชัดสูงสุดอยู่ที่ 50 – 100 ล้านพิกเซล
  • ไม่ต้องใช้ช่างชำนาญการ เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ด้วยเวลาอันรวดเร็ว

ข้อเสียของ Professional VR camera (สำเร็จรูป)

  • ราคาสูงที่สุดในกล้องทุกประเภท (100,000 – 300,000 บาท) ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำสูงขึ้นตาม

ปัจจัยในการเลือกใช้ VR Virtual tour ที่ผลิตจากกล้องและโปรแกรมแต่ละประเภท

Virtual tour VR360
ดูตัวอย่าง Virtual tour VR360 การถ่ายทำเรือ Seven Marine Phuket ได้ที่ https://takealook360.com/vrtour/sevenmarine

จากข้อมูลที่ได้กล่าวไปด้านบนนี้ ทุกท่านคงพอทราบความแตกต่างของ VR Virtual tour ที่ผลิตจาก Software แต่ละประภท รวมถึงถ่ายทำจากกล้องในรูปแบบต่าง ๆ

เราจึงได้รวบรวมปัจจัย และคำแนะนำในการเลือกผู้ให้บริการและประเภทของกล้องและการถ่ายทำ ดังนี้

คุณภาพ / และความคมชัดของภาพ :

ด้วยปัจจุบันที่จอภาพมีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้ง Resolution ต่อตารางนิ้ว (DPI) ที่ละเอียดขึ้น ส่งผลให้ความต้องการด้านคุณภาพและความคมชัดสูงขึ้นตาม สำหรับปัจจุบันเรายังคงแนะนำการเลือกใช้กล้อง Fullframe mirrorless – DSLR มาเป็นอันดับ 1 และการใช้ Professional VR Camera แบบสำเร็จรูป มาเป็นอันดับ 2

ส่วนการใช้งานกล้อง Action Camera เรายังแนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่สนใจสร้าง VR Tour ด้วยตนเอง

อายุการใช้งาน :

อายุการใช้งานมีผลในการเลือกประเภทผู้ให้บริการ และ Software ที่ผู้ให้บริการใช้ผลิต เนื่องจาก Platform VR สำเร็จรูปมีค่าบริการเก็บรักษาไฟล์รายปีที่สูง หากคุณมีแนวโน้มจะใช้ Virtual tour ดังกล่าวตั้งแต่ 4 – 6 ปีขึ้นไป การเลือกผู้ให้บริการที่สร้าง VR Virtual tour ในรูปแบบ Web 360 Programing ซึ่งคุณสามารถเป็นเจ้าของไฟล์ Javascript และเก็บรักษา Virtual tour บน Web Server ของตนเองได้เอง โดยไม่เสียค่าบริการรายปี อาจช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าในระยะยาว

  • มีแนวโน้มจะใช้งานนานกว่า 4 ปี –> ควรเลือกใช้ผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้าน Web 360 Programing
  • รูปแบบการถ่ายทำแบบแยกห้อง (โดยแต่ละห้องไม่เชื่อมถึงกัน) เช่น Condo / หมู่บ้านขนาดใหญ่ / โรงแรม / รีสอร์ท –> ควรเลือกใช้ผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้าน Web 360 Programing เนื่องจาก Web 360 Programing สามารถกำหนด sequence การเดินและการจัดเก็บไฟล์ได้เอง ในขณะที่ VR Platform สำเร็จรูปนับค่าบริการรายปีแยกตามจำนวนห้อง

ระยะเวลาในการสร้าง :

หากคุณต้องการสร้าง Virtual tour ที่เน้นการรับชมด้วยประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ / ความคมชัดที่สูง / และการใช้งานที่ตรงตามความต้องการ เราแนะนำให้คุณมองหาผู้ให้บริการที่ถ่ายทำด้วยกล้อง Fullframe mirrorless DSLR ซึ่งให้คุณภาพสูง แต่ก็แลกมาด้วยระยะเวลาในการ Post-production ที่นานกว่า โดยเฉลี่ย 5 – 20 วันขึ้นอยู่กับปริมาณจุดถ่ายทำ

แต่หากคุณเป็นบริษัท Agent ปล่อยเช่าห้อง / Airbnb host ที่เป็นเจ้าของ asset เพียง 1-2 แห่ง — ผู้ชม Virtual tour เน้นการชมแบบรวดเร็ว ไม่ต้องการ Brand Awareness และ user experience ที่สูง การมองหาผู้ให้บริการด้วยกล้อง Action Camera / หรือ Professional VR Camera ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดระยะเวลาในการ Process ภาพให้สั้นลง เฉลี่ย 1-10 วันขึ้นอยู่กับปริมาณจุดถ่ายทำ

Web 360 Programing (takealook360.com)VR Platfor (สำเร็จรูป)
อายุการใช้งานในระยะยาวประหยัดค่าดูแลรักษามากกว่าหากใช้งานนานกว่า 4 ปีเหมาะกับ Tour ที่ใช้งานไม่นาน (น้อยกว่า 1 ปี)
ระยะเวลาในการสร้างเฉลี่ย 5-20 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน)เฉลี่ย 1-10 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน)

ตารางสรุป Criteria ที่ 1 : แบ่งประเภทตามรูปแบบโปรแกรมที่สร้าง Virtual tour (Software)
Fullframe (takealook360.com)Action camera 360Professional VR360
คุณภาพและความคมชัดของภาพ90 – 1,024 ล้านพิกเซล32 ล้านพิกเซล50-100 ล้านพิกเซล
ระยะเวลาในการสร้าง
เฉลี่ย 5-20 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน)
เฉลี่ย 1-10 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน)เฉลี่ย 1-10 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน)
ราคากล้องเฉลี่ย~100,000~30,000~200,000

ตารางสรุป Criteria ที่ 2 : แบ่งประเภทตามรูปแบบอุปกรณ์ถ่ายทำ (Camera)

สรุป

การถ่าย Virtual Reality (VR 360) มีหลากหลายรูปแบบและตัวเลือกให้เลือกสรรค์ การเลือกตามปัจจัยสำคัญที่กล่าวไปทั้ง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็น “คุณภาพและความคมชัด”, “อายุการใช้งาน”, และ “ระยะเวลา” จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จกับ Project VR ภายใต้ระยะเวลาและงบประมาณที่เหมาะสมและไม่บานปลายในภายหลัง

หากคุณอ่านแล้วมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อเข้ามาตามที่อยู่ https://takealook360.com/contact-us/

ปรึกษาและขอคำแนะนำฟรี !

หากคุณกำลังมองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถ่าย VR 360 หรือ Virtual Tour อย่าลังเลที่จะติดต่อเราที่ takealook360.com เพื่อสอบถามและเรียนรู้เพิ่มเติม!

บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริงและความรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่ takealook360.com เพื่อช่วยให้คุณเลือกทางที่ถูกต้องสำหรับโปรเจกต์ของคุณ หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา!

ติดตามเราที่ takealook360.com


อ่านเนื้อหาถัดไปของเราเกี่ยวกับ Virtual tour